วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทเพลงเฉลิมพระเกียรติภาษาอังกฤษที่ชาวออสเตรเลียแต่งเพื่อถวายในหลวง

บทเพลงเฉลิมพระเกียรติภาษาอังกฤษที่ชาวออสเตรเลียแต่งเพื่อถวายในหลวง



เรารักในหลวง

บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมาให้ทุกคนเพื่อเฉลิมฉลองวันมหามงคล "5 ธันวามหาราช" หากมีข้อมูลอันใดที่เป็นการละเมิดใดๆก็ตาม กรุณาติดต่อทีมงาน ที่นี่
วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2550 หน้าศาลา 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช
มล.ปริยดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมได้นำเยาวชนในเครือข่ายเยาวชนพัฒนาศักยภาพ ประมาณ 20 คน ร่วมร้องเพลงถวายพระพร โดยมี นางเคลลี นิวตัน (Kelly Newton) นักร้องนักแต่งเพลงชาวออสเตรเลียซึ่งได้เดินทางร้องเพลงมาแล้วทั่วโลก เป็นผู้เล่นกีตาร์และเป็นต้นเสียงในการร้องนำ ในเพลง "Long live The King of Thailand" ซึ่งนางเคลลี เป็นผู้เขียนเนื้อเพลง และทำนองด้วยตนเอง
สำหรับเนื้อหาเพลงนางเคลลีกล่าวว่า ตนเป็นชาวต่างชาติแต่ได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและรู้สึกประหลาดใจว่าท่านผู้นี้ได้ทำให้ประเทศชาติมากมายขนาดนี้ ทรงเป็นสามี เป็นพ่อที่ดี ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงมีพระอัจฉริยะภาพหลายด้านทั้งการแต่งเพลง ดนตรี และการเกษตร พระองค์ทรงเป็นนักแต่งเพลงและทรงดนตรีได้เยี่ยมยอดมาก ซึ่งตนก็ชื่นชอบเพลงพระราชนิพนธ์ทุกเพลงนางเคลลีกล่าวอีกว่า แรงบันดาลใจสำคัญที่นำมาซึ่งเนื้อหาในบทเพลงนี้เริ่มต้นมาจาก ตนได้นั่งเครื่องบินของการบินไทยและได้เห็น VTR พระราชกรณียกิจของในหลวง ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ท่าน ก็ประหลาดใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครทำไมถึงได้ทำอะไรมากมายขนาดนี้ เมื่อลงจากเครื่อง จึงได้สอบถามเพื่อนและทราบว่าเป็นพระองค์ท่าน แรงบันดาลใจสำคัญจึงมาจากพระองค์นั่นเอง
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ทรงมีความรัก ความเมตตาให้แก่ประชาชนของพระองค์ทุกคน ซึ่งตนสามารถเห็นและสัมผัสได้ พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดีของโลกนี้ ที่ผู้นำทุกคนควรจะเป็น นางเคลลีกล่าวด้วยว่า ตนกับสามีทำฟาร์มอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยไม่ใช้สารเคมี มา 20 ปีแล้ว ซึ่งพอทราบว่า พระองค์ท่านมีพระราชดำริเกี่ยวกับการเกษตร ให้ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปลูกพืชปลอดสารพิษ ก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในพระองค์ท่านคิดว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากที่สุดในโลกแล้ว และเมื่อได้มาประเทศไทย ก็ถามคนที่นี่ว่า ทุกคนรู้สึกอย่างไรกับในหลวง ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เรารักในหลวง ซึ่งตนไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในโลกว่า ความรักที่ประชาชนมีต่อผู้นำประเทศจะมากมายขนาดนี้ และเมื่อทราบจากเพื่อนว่าพระองค์ประชวรจึงได้เดินทางมาถวายพระพร ด้วยการร้องเพลงที่แต่งเอง ซึ่งได้แต่งเพลงนี้เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2550 ใช้เวลา 15 นาที ก็ได้เพลงนี้ออกมา....

Long live The King of Thailand

เนื้อร้องและทำนอง : Kelly Newton
ถอดความภาษาไทย : jerasak


Ever since I saw the face.. of this man.
นับแต่ฉันได้เห็นหน้า.. ชายผู้นั้น

The King of Thailand, The King of Siam.
กษัตริย์แห่งประเทศไทย.. กษัตริย์แห่งสยาม..

I felt in love with his soul loves this land.
ฉันก็หลงไหลในความรักที่ท่านมีแก่แผ่นดินนี้

It's in his eyes, it's in his heart, it's in his hands.
มันอยู่ในดวงตา อยู่ในหัวใจ และสองมือของท่าน

He is the husband, the father and the king.
ท่านเป็นทั้งสามี เป็นทั้งพ่อ และเป็นกษัตริย์

A great photographer, musician so many things.
เป็นช่างภาพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักดนตรี และอะไรอีกมากมาย

The way he lives his life is something to be hold.
วิถีดำเนินชีวิตของท่าน เป็นสิ่งที่สมควรยึดถือ

His grace, his wisdom, an example to the world.
ความงามสง่า ความเฉียบแหลมลึกซึ้ง.. ที่เป็นตัวอย่างแก่โลกใบนี้

...

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

...

And in the time when the rain came flooding down.
และเมื่อยามฝนตกน้ำหลาก

He saved the city with the building of the dam.
ท่านได้ปกป้องประเทศไว้ด้วยการสร้างระบบเขื่อน

In time of conflicts, he has always been there.
เมื่อยามเกิดความขัดแย้ง ท่านจะอยู่ที่นั้นเสมอ

To stop the fighting just like the father who really cares.
เพื่อยุติการต่อสู้ ดุจบิดาผู้ห่วงใยบุตรในอุทร

...

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

...

I'm watching wonder at the things he understands.
ฉันเฝ้ามองด้วยความอัศจรรย์ ในทุกสิ่งที่ท่านนั้นเข้าใจ

His love for his people, his love for this land.
ความรักที่ท่านมีต่อประชาชนของท่าน.. และต่อแผ่นดินนี้..

His working a great culture, he is one of a kind.
ท่านได้สร้างประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ และท่านคือผู้เป็นหนึ่ง

His vision for the future way ahead of the time.
วิสัยทัศน์ของท่านกับอนาคต ก้าวข้ามพ้นกาลเวลา

...

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

Long live The King of Thailand.
Long live The King of Siam.


ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ของไทย
ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

Long live The King. Long live The King of Siam.
ขอถวายพระพร.. ขอกษัตริย์แห่งสยามทรงพระเจริญ

Long live The King. Long live The King of Thailand.
ขอถวายพระพร.. ขอกษัตริย์ของไทยทรงพระเจริญ

Long live The King.
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ขอบคุณเนื้อเพลงแปลภาษาไทยจากคุณ Jewrasuk@serithai.net และที่มาอื่นๆ

วิธีการใช้ภาษาอังกฤษเรียกคนใกล้ชิดแบบไม่เป็นทางการ

วิธีการใช้ภาษาอังกฤษเรียกคนใกล้ชิดแบบไม่เป็นทางการ

Non-formal Pronouns ในภาษาอังกฤษ

วิธีการใช้ภาษาอังกฤษเรียกคนใกล้ชิดแบบไม่เป็นทางการ
หากพูดถึงประธานที่ใช้กันในชีวิตประจำวันแล้ว คงจะหนีไม่พ้น “I, You, We, They, He, She, It” ที่เราได้เรียนรู้กันมาจากตำราต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ในชีวิตจริงแล้ว มีคำมากมายที่สามารถนำมาใช้แทนคำเหล่านี้ได้ วันนี้เราลองปิดตำราทั้งหลาย แล้วเปิดโลกทัศน์ด้วยคำต่างๆที่เราควรจะรู้ไว้เพื่อใช่สื่อสารภาษาอังกฤษแบบไม่เป็นทางการ (Non-formal English) กันดีกว่า

คำที่ใช้เรียก “ผู้หญิง” บางคนอาจจะงงว่าทำไมอยู่ดีๆพึ่งจะรู้จักกับฝรั่ง แล้วทำไมเขาถึงเรียกเราว่าที่รักด้วยคำต่างๆนานา คำตอบก็คือ คำเหล่านี้สามารถนำมาใช้เรียกแทนตัวเราได้ ซึ่งก็ได้แก่คำว่า
Gorgeous, Sweetie, Sweetheart, Sister, Sis, Love, Darling, Honey, Baby, Girl, Gal, Dear, Sugar, Cutie, Chick

คำที่ใช้เรียก “ผู้ชาย” สำหรับผู้ชายแล้ว คำที่ใช้ต่างๆนั้นจะเน้นไปถึง ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง (Brotherhood) หรือ คำที่บ่งบอกถึงมิตรภาพ (Friendship) ไปเสียส่วนใหญ่ เช่น
Man, Boy, Brother, Fella, Fellow, Dude, Buddy, Mate, My friend, Boss, Chief
 
คำที่ใช้เรียก ”กลุ่มเพื่อน” อาจใช้คำว่า Guys, People, Fellas, Gang, Gangsta, Chicks (แทนกลุ่มผู้หญิง)
 
คำที่ใช้เรียก “เด็ก” เช่น Kid, kiddo
 
คำที่ถูกย่อให้สั้นลง (Short forms) เป็นที่รู้กันว่าศัพท์แทบทุกคำที่นิยมใช้กันอยู่บ่อยๆ มักจะถูกย่อให้สั้นลง ซึ่งก็รวมไปถึงคำเหล่านี้ด้วย:

   Hun – มาจากคำว่า Honey
   Babe – มาจากคำว่า Baby
   Sis – มาจากคำว่า Sister
   Bro – มาจากคำว่า Brother
   Darl – มาจากคำว่า Darling

คำว่า “ที่รัก” แบบหวานแหวว - สำหรับคนที่เบื่อที่จะใช้คำว่า “Tee Rak” ในการเรียกแฟนตัวเองบน BB หรือ ใน SMS ต่างๆ แล้วกำลังมองหาคำอื่นอยู่ สามารถลองใช้คำเหล่านี้ดูได้ รับรองแปลก ไม่เหมือนใคร แถมยังฟังดูน่ารักอีกด้วย:
Cutie Bunny, Cutie Pie, Sweetie Pie, My Little Sunshine, My Sunshine, My pumpkin, Honey Bunny (Hunni Bunni), My Little Cupcake, Cupcake, honeybunch, My Boo (My Baby)
 
  *เราสามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้เรียกเด็กได้เช่นกัน
  *การใช้คำว่า My หรือ Your เข้ามาเสริมคำต่างๆ อาจจะช่วยเพิ่มความหวานขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง เช่น Your Sweetie Pie, Your pumkin, You are my little angel และอื่นๆ
 
 
หมายเหตุ คำเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างกลุ่มคำส่วนหนึ่งเท่านั้น ในความจริงแล้ว ยังมีคำอีกมากมายที่ใช้กันทั่วไปในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรม :)

คำเลียนเสียงต่างๆในภาษาอังกฤษ (Onomatopoeia)

คำเลียนเสียงต่างๆในภาษาอังกฤษ (Onomatopoeia)

Onomatopoeia (คำเลียนเสียงสัตว์ต่างๆในภาษาอังกฤษ)

หลายคนอาจจะคิดว่า “คำเลียนเสียงต่างๆ” หรือ “Onomatopoeia” ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะเช่นเดียวกัน ซึ่งบางคนอาจจะเคยประสบกับปัญหาในเวลาที่จะต้องสื่อสารกับคนต่างชาติ เนื่องจากไม่รู้ว่าเสียงเหล่านี้ในภาษาอังกฤษนั้นมีรูปแบบเช่นใด โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงคำเลียงเสียงสัตว์ต่างๆในภาษาอังกฤษกัน

ตารางเปรียบเทียบเสียงสัตว์ต่างๆในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ (Onomatopoeia)

เสียงนก (birds)จิ๊บ“chirp/tweet”
เสียงไก่ตัวผู้ขัน (roosters)เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก“cock-a-doodle-doo”
เสียงไก่ (chickens)กระต๊าก“cluck”
เสียงวัว (cows)มอ“moo”
เสียงหมา (dogs)โฮ่งๆ“woof-woof/bow-wow”
เสียงลูกหมา (puppies)บ๊อกๆ“ruff-ruff”
เสียงแมว (cats)เมี๊ยว“mew/meow”
เสียงเป็ด (ducks)ก๊าบๆ“quack-quack”
เสียงผึ้ง/แมลงวัน (bees/flies)หึ่ง“buzz”
เสียงแกะ (sheep)แบ๊ะๆ“baa-baa”
เสียงม้า (horses)ฮี้“neigh-neigh/whinny”
เสียงกา (crows)กาๆ“kaw-kaw”
เสียงหมู (pigs)อู๊ดๆ“oink-oink”
เสียงหนู (mice)จิ๊ดๆ“squeak/squeal”
เสียงกบ (frogs)อ๊บ“croak-croak”
เสียงตุ๊กแก (Tokay Geckos)ตุ๊กแก“To-keh”
เสียงหมาป่า (wolves)หอน“howl”
เสียงลิง (monkeys)เจี๊ยกๆ“gibber”
ยังไงก็ขอบอกว่านี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น หากใครที่สนใจอยากรู้คำเลียนเสียงของสัตว์อื่นๆ ก็ลองเข้าไปดูได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลย วันนี้ขอลาไปก่อนละนะคร้าบ…. Oink-Oink!!




คลิปสอนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ Onomatopoeia

"กาแฟ" ในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่แค่ "Coffee"

ประเภทของกาแฟในภาษาอังกฤษ

 
คอกาแฟทั้งหลาย หรือ ที่เราเรียกกันว่า "Coffe Lovers" ในภาษาอังกฤษ คงจะทราบดีว่า กาแฟนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน โดยแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันไป วันนี้ เรารวบรวบเอากาแฟที่นิยมๆกันมาให้อ่านกัน เผื่อว่าทุกๆคนจะได้นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในโอกาสต่างๆ
 

ประเภทของกาแฟในภาษาอังกฤษ


ประเภทของกาแฟในภาษาอังกฤษ
 
 
Decaffeinated Coffee หรือ ที่เรียกกันสั้นๆว่า Decaf coffee คือ กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน

Cappuccino หรือ คาปูชิโน มีส่วนประกอบหลักคือ เอสเปรสโซ นมร้อน และ ฟองนม โดยคำว่า Cappuccino นั้น เป็นภาษาอิตาเลียน โดยการออกเสียงที่ถูกต้องตามเจ้าของภาษาก็คือ กัปปุชชิโน่

Freeze-dried Coffee คือ กาแฟอบแห้ง

Espresso (เอสเปรสโซ) คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด เรียกกาแฟชนิดนี้กันว่า “เอ็กส์เปรสโซ่” (Expresso) แต่ จริงๆแล้วมันคือ “เอสเปรสโซ่” โดยกาแฟชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจาก เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ นั่นเอง สำหรับการสั่งเอสเปรสโซ่นั้น เราจะต้องเลือกว่าเราต้องการแบบ Single shot / Espresso Solo ซึ่งก็คือ เอสเปรสโซ่เพียงช็อตเดียว หรือ Double shot / Espresso Doppio ซึ่งก็คือ เอสเปรสโซ่แบบสองช็อตนั่นเอง

American Coffee หรือ Americano (อเมริกาโน่) ในภาษา Italian คือ กาแฟสไตล์อเมริกัน ที่ทำมาจากเอสเปรสโซหลายๆ ช็อตกับน้ำร้อน เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับกาแฟที่ได้จากการชงแบบหยด แต่มีรสชาติต่างกัน

Latte เป็นเอสเปรสโซผสมนมร้อน ปกติมักโปะข้างบนด้วยฟองนม ความเข้มข้นไม่มากเท่าคาปูชิโนเนื่องจากใส่นมเยอะกว่า

Coffee Milk หรือ กาแฟนม เป็นเครื่องดื่มที่คล้ายๆกับนมช็อกโกแลต แต่ใช้น้ำเชื่อมกาแฟแทนการใช้น้ำเชื่อมช็อกโกแลต

Long Black คือ การนำเอา Espresso แบบ Double shot มาผสมกับน้ำร้อน

Mocchiato หรือ มัคคิอาโต คือ เอสเปรสโชที่ผสมนมนิดหน่อย ซึ่งบางคนอาจเรียกกาแฟชนิดนี้ว่า "Dirty Espresso" นั่นเอง

Mocca เป็นการดัดแปลงของลาเต้ มีอัตราส่วนของเอสเปรสโซและนมเป็นอัตรา 1:3 เหมือนกับลาเต้ แต่มีการใส่ช็อกโกแลตเพิ่มลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้น้ำเชื่อมช็อกโกแลตแทนช็อกโกแลตผลในเครื่องขายอัตโนมัติ ช็อกโกแลตที่ใช้อาจจะเป็นช็อกโกแลตดำหรือช็อกโกแลตนมก็ได้

Flat White กาแฟชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยมีส่วนผสมระหว่าง เอสเปรสโซ กับ นมร้อน และไม่ใส่ฟองนม

Cortado คือ เอสเปรสโซที่ผสมนมอุ่นลงไปเล็กน้อย

นอกจากกาแฟที่บอกมาข้างต้นแล้ว ยังมีกาแฟอื่นๆอีกมากมายหลายชนิด ที่สาธยายวันหนึ่งก็คงจะไม่หมด หากใครมีความรู้อะไรเกี่ยวกับกาแฟนอกเหนือจากนี้ จะมาแนะนำกัน ก็เชิญแบ่งปันกันตามสบายในนี้เลยครับ
 
Enjoy your Coffee
 
Enjoy your coffee!!
 

การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ (How to introduce yourself)

การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ (How to introduce yourself)

การแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ (How to introduce yourself)

การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ

Non-formal way (ไม่เป็นทางการ) เราอาจจะพูดเพียงแค่คำว่า “Hello” หรือ “Hi” ตามด้วยการแนะนำตัวเอง เช่น “Hi, my name is Jew.” โดยอีกฝ่ายมักจะตอบกลับโดยระบุชื่อเรา เช่น “Hi, Jew. I’m Sarah.” หรือ อาจจะพูดว่า “Hello, Jew! Pleasure to meet you.” ก็ได้ ตามด้วยการเริ่มบทสนทนา โดยอาจเริ่มต้นด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบต่างๆ เช่น “How are you today?” และอื่นๆ
*หากเราต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นแบบกันเอง โดยไม่อยากที่จะใช้ชื่อจริงคุยกัน ก็อาจจะแนะนำชื่อเล่นของเราไปเลย หรือ อาจจะใช้วิธีการแนะนำชื่อจริงแล้วตามด้วยชื่อเล่นของเราก็ได้ เช่น “Hi, my name is Jew, but you can call me Dek-Eng.” หรือ อาจจะพูดว่า "Hi, my name is Jew, but all my friends all call me Dek-Eng."
Formal way (ทางการ) ในการแนะนำตัวแบบเป็นทางการนั้น เราจะต้องใช้ประโยคทำความรู้จัก แนะนำชื่อ และ ตามด้วยการแนะนำตัวสั้นๆว่าเราเป็นใคร หรือ มาจากไหน
"May I / I'd like to introduce myself. I'm Jew, from Dek-Eng.com."

“Nice to meet you. My name is Jew, from Dek-Eng.com.”

หรือ “My name is Jew, from Dek-Eng.com. Nice to meet you.”
*สำหรับการแนะนำตัวส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ Formal หรือ Non-formal ก็มักจะควบคู่ไปกับการจับมือทักทายกัน หรือ การทักทายตามวัฒนธรรมต่างๆ เสมอ ซึ่งเพื่อนๆสามารถศึกษาต่อได้ใน ….
ประโยคแนะนำตัวที่เรานิยมใช้กันในชีวิตประจำวัน ได้แก่

(It’s) Nice/Good/Great to meet you.
(It’s) Nice/Good/Great to see you.
(I’m) Pleased to meet you
It’s a pleasure to meet you
(I'm) Delighted to meet you
(I’m) Glad to meet you
(It’s) Nice to meet you / (It’s) Nice meeting you
How do you do?
ประโยคที่ใช้ในการทักทายตอบ ได้แก่

Nice/Good/Great to meet you too.
The pleasure is mine
Pleasure / My pleasure
Likewise
Same here
Same to you
Same
You too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ It’s…to meet you)
Me too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ I’m…to meet you)
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกใช้ประโยคเหล่านี้ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือ ผู้สนทนาด้วย
ส่วนใครที่มีคำถามว่า จะพูดอย่างไรเพื่อกล่าวคำลา สำหรับการกล่าวคำลานั้น เรามักจะเน้นอีกครั้งถึง ความรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักกับผู้สนทนา เช่น

It was a pleasure to (meet/have met) you
It was nice meeting you. I look forward to our next meeting.
It was nice to meet you. We’ll be in touch.
Nice meeting you. I hope to see you soon

วิธีการทักทายแบบต่างๆ นอกเหนือจากการ Hand Shake

วิธีการทักทายแบบต่างๆ นอกเหนือจากการ Hand Shake 
 
 
 
 
 
นอกจากการจับมือ หรือ การสั่นมือ แล้ว ยังมีการทักทายด้วยกริยาท่าทางต่างๆอีกมากมาย ซึ่งแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และ อายุ แต่ที่พบเห็นกันได้ทั่วไปนั้น ได้แก่
 
  • Engage in a hand clasp, followed by a one-armed hug/half-hug and a gentle slap on the back.
 
การโอบกันแบบครึ่งตัว (one-armed hug/a half-hug)
 
การจับมือกันแล้วตามด้วย การโอบกันแบบครึ่งตัว (one-armed hug/a half-hug) พร้อมกับ การตบหลังเบาๆ (a gentle slap on the back) วิธีนี้เป็นวิธีการที่ผู้ชายมักใช้กันในการทักทายกันกับเพื่อนสนิท หลังจากการจับมือกัน เพื่อแสดงถึงความสนิทสนม
 
 
  • Fist bump or Knuckle bump
 
Fist bump or Knuckle bump
 
การเอากำปั้นชนกัน เป็นการทักทายกับคนที่สนิทสนม ซึ่งทำได้โดยการเอากำปั้นไปชนกันเบาๆ (อย่าไปรุนแรงเด็ดขาด อาจมีเรื่องได้…)
 

  • A full hug or shoulder squeeze
A full hug or shoulder squeeze
 
การโอบกันเต็มตัว (full hug) หรือ การบีบไหล่ (shoulder squeeze) เป็นการทักทายเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน
 

  • A gentle kiss and hug
 
การจูบทักทาย
 
การจูบที่ปากเบาๆแล้วกอดนั้นเป็นการทักทายระหว่างหญิงและชายที่เป็นคู่รักกัน หรือ เพื่อนมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
 
  • Kissing on a cheek or both cheeks
 
การหอมแก้มทักทาย
 
การหอมแก้ม (cheek-kiss) และโอบนั้นเป็นการทักทายกันโดยทั่วไประหว่างทุกเพศ แม้กระทั่ง ระหว่าง ชายกับชาย โดยวิธีการหอมแก้มนั้น อาจไม่ต้องหอมจริงๆก็ได้ โดยเราอาจจะใช้ Air kiss หรือ จูบอากาศ เข้ามาช่วย
 

  • Hi 5
 
การตบมือทักทาย (hi5)
 
การทักทายแบบตบมือกัน หรือ "Hi 5" นั้น เป็นการทักทายที่เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น ทำง่ายๆโดยการชูมือขึ้นแล้วตบมือกัน โดยมักใช้กันในโอกาสที่ได้พบเจอกับเพื่อนที่ค่อนข้างสนิท
 

  • Just wave “Hi”
 
การโบกมือทักทาย
 
การโบกมือเฉยๆ อาจนำไปใช้ในการทักทายได้ เมื่อเราเจอกับคนที่เรารู้จัก แต่ไม่สนิทกันสักเท่าไร
 
และนอกจากการทักทายต่างๆที่ยกมาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายที่ไม่สามารถเอามาพูดได้หมด 
 
ยังไงก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อย และหวังว่าเด็กอิงก์ทุกคนจะสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในโอกาสต่างๆได้ไม่มากก็น้อย
 
Good Luck, Fellas !!
 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------




1 Minute English

เรียน 4 Tense ภาษาอังกฤษ ภายใน 1 นาที (1 Minute English)

 

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

 
หลายคนคงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนภาษาอังกฤษด้วยการท่องจำ และก็คงอยากที่จะหาวิธีอื่นๆมาใช้ในการฝึกฝนกัน หนึ่งในวิธียอดฮิตที่หลายคนใช้เพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษด้านต่างๆ ก็คือ การดูหนังหรือซีรีส์ฝรั่งต่าง ลองมาดูกันดีกว่าว่าเราสามารถที่จะฝึกภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการดูหนังเหล่านี้ได้อย่างไร
 
ประเภทของหนังที่แนะนำให้เลือกในการฝึกเบื้องต้น ได้แก่ หนัง Romantic, หนัง Comedy, Animation และ หนังสำหรับวัยรุ่นต่างๆ
 
สิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การฝึกพูดตามตัวละครทุกๆรอบที่ดูโดยอาจพยายามเลียนแบบ Accent ของตัวละครนั้นๆ พร้อมกับจดคำศัพท์หรือประโยคต่างๆที่เราไม่เคยเจอ หรือแปลไม่ออก เพื่อมาหาความหมายทีหลัง
 
วิธีที่ 1 ดูหนัง Thai Subtitle ตามด้วย English Subtitle แล้วดู No Subtitle

คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกเบื่อที่จะดูหนังซ้ำไปซ้ำมาหรือเปล่า?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 6-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ทุกคนคงเคยได้รับคำแนะนำมาเพื่อใช้ฝึกภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ทำตามเลยแม้สักครั้ง เนื่องจากต้องมีเวลาจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่จำเป็นต้องดูหนังทั้งหมดนี้ให้จบในวันเดียวกัน แต่สามารถแบ่งไปดูวันอื่นๆก็ได้
 
วิธีที่ 2 อ่าน Plot หรือ ดูตัวอย่างหนัง ตามด้วย English Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกอย่างไรหากต้องดูหนังแล้วไม่สามารถเข้าถึงแก่นที่แท้จริงของหนังได้?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้อาจจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายสำหรับใครบางคน เนื่องจากคิดว่าดูหนังไม่รู้เรื่องแน่ๆ แต่ถ้าลองคิดดูดีๆแล้ว วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้เนื่องจากประหยัดเวลา และนอกจากนั้นการดูหนังแบบนี้ยังช่วยให้เราสร้างความหมายของคำศัพท์ต่างๆมาด้วยตัวเอง และไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ความหมายของประโยคและคำต่างๆที่ผู้แปลเรียบเรียงขึ้นมา แต่ข้อเสียก็อาจจะเป็น การที่ดูหนังจบแล้ว แต่ไม่รู้เรื่องสักเท่าไร จึงแนะนำวิธีนี้สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่ใครที่ไม่มีเวลาหรืออยากที่จะมีความรู้สึกเดียวกับการที่เราต้องไปอยู่ท่ามกลางฝรั่ง วิธีนี้ก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีในการมองหาจุดบกพร่องของเรา
 
วิธีที่ 3 ดูหนัง No Subtitle ตามด้วย English Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกอย่างไรถ้าหากดูหนังแล้วไม่มีความสนุกเลย?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 4-6 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับวิธีที่ 2 เพียงแต่วิธีนี้จะเน้นไปถึงการทำความเข้าใจถึงส่วนต่างๆของเรื่องที่เราไม่สามารถจับใจความได้ โดยการดูรอบแรกเป็นเพียงการทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องว่าเป็นไปในลักษณะใด และพยายามที่จะฟังประโยคต่างๆให้ออกเท่านั้น โดยรอบที่สองนั้น เราจะต้องพยายามอ่าน subtitle ให้หมด เพื่อดูว่าประโยคต่างๆนั้นเป็นไปตามที่เราฟังหรือไม่
 
วิธีที่ 4 ดูหนัง Thai Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะสามารถบังคับตัวเองไม่ให้ดู Subtitle มากน้อยเพียงใด?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล ใครที่เป็นคอหนังตัวจริงแล้ว คงจะต้องอยากรู้ถึงวิธีการฝึกภาษาอังกฤษไปกับการดูหนัง Thai Subtitle นี้อย่างแน่นอน นั่นก็เป็นเพราะว่า เราจะต้องพบกับหนัง Thai Subtitle ทุกครั้งที่เราไปดูหนังในโรง แต่ประสิทธิภาพในการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนังชนิดนี้นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร นั่นก็เป็นเพราะ สิ่งที่เราได้รับมาคือคำแปลจากผู้บรรยาย ไม่ใช่คำแปลที่ผ่านจากกระบวนความคิดของเรา แต่ยังไงก็ตามยังมีวิธีที่จะทำให้การดูหนังประเภทนี้ช่วยเราในการฝึกภาษาอังกฤษได้บ้าง ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ แต่ทำได้ยาก นั่นก็คือ “การพยายามไม่ดู subtitle” โดยจะดูก็ต่อเมื่อฟังไม่รู้เรื่องเท่านั้น เช่น ไม่มอง subtitle เมื่อเป็นฉากที่ตัวละครพูดค่อนข้างช้า หรือ อาจจะเป็นฉากที่เด็กหรือคนสูงวัยพูด ก็ได้ โดยสิ่งสำคัญในการฝึกคือ ต้องอดทนและกลั้นใจไม่มอง subtitle นั่นเอง อย่างไรก็ตาม อยากให้เลือกดูหนัง Thai Subtitle เป็นตัวเลือกสุดท้ายในการฝึกภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด
 
สำหรับสิ่งที่จะได้เรียนรู้จากการดูหนังด้วยวิธีต่างๆเหล่านี้ก็ได้แก่ ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน, คำศัพท์ Slang และ Technical Terms, ทักษะการฟัง (Listening skills), ความคุ้นเคยกับสำเนียงต่างๆ, หลักการใช้ Grammar และ Tenses ต่างๆ และอื่นๆ โดยเราจะได้ความรู้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า มีความอดทนและความพยายามมากน้อยเพียงใด 
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
 

How to read time

การอ่านเวลาในภาษาอังกฤษ (How to read time)

 

การอ่านเวลา สามารถแบ่งออกเป็นสองวิธีด้วยกัน คือ
  1. ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษทั่วไป โดยใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. (ante meridiem) หรือ p.m. (post meridiem) ต่อท้าย โดยมีหลักการอ่านดังนี้
  • หากเป็นเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “O’clock” ตามหลังเลขชั่วโมงนั้นๆได้ และ หากเราต้องการย้ำถึงเวลา ก็อาจจะเติมคำว่า “sharp” ลงไปด้วย เช่น
It’s six O’clock now. = ขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกา
See you tomorrow at six o’clock sharp = แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ตอนหกโมงตรง
  • หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกินสามสิบนาที ให้ใช้คำว่า “past” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.10 = Ten (minutes) past six / Six ten
6.15 = A quarter past six / Six fifteen
6.30 = Half past six / Six thirty
  • หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกินสามสิบนาทีมาแล้ว ให้ใช้คำว่า “to” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.45 = A quarter to seven / Six forty-five
6.50 = Ten (minutes) to seven / Six fifty
6.35 = Twenty-five (minutes) to seven / Six thirty-five

  • การอ่านเวลาแบบระบุเวลาเช้า เย็น เป็นวิธีที่ง่าย และมีความชัดเจนในการสื่อสาร ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น
4.45 p.m. = four forty-five in the evening
4.00 a.m. = four o’clock in the morning

* หากเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดีจะใช้คำว่า “at noon หรือ midday” และหากเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ก็จะใช้คำว่า “at midnight”
  1. ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่ใช้ในหมู่ทหาร หรือ ในการประชุมทางการต่างๆ เพื่อป้องกันการสับสนในการบอกเวลา โดยใช้เลข 1 ถึง 23 และ เลข 00 ในเวลาเที่ยงคืน และไม่มี a.m. / p.m. ตามหลัง โดยมีวิธีการอ่านเวลาที่ต่างไปจากการอ่านเวลาทั่วไป เช่น
20.00 = twenty hundred
03.05 = oh three oh five / zero three zero five
00.35 = midnight thirty-five


 

 



 

 


 

 

 

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Emotion

“Emotions” – Which one best describes you?
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์1
 Today I feel... วันนี้ฉันรู้สึก...
 Exhausted : อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
 Confused : สับสน 
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์2
 Shocked :  ตกใจกลัว
 Guilty : รู้สึกผิด
 Suspicious : หวาดระแวง / ขี้สงสัย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์3
 Bored : เบื่อ
 Hysterical : เป็นประสาท
 Frustrated : สิ้นหวัง 
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์4
 Miserable :  ห่อเหี่ยวใจ
 Confident : มั่นใจ
 Scared : หวาดกลัว
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์5
 Solitary :  อ้างว้าง
 Happy : มีความสุข
 Unhappy : เศร้า
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์6
Mean : ใจดำ / ใจแคบ
Furious : เกรี้ยวกราด
Embarrassed : กระดากอาย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์7
 Anxious : กระวนกระวายใจ
 Stuck up : เย่อหยิ่ง
 Depressed : หดหู่
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์8
 Surprised : ประหลาดใจ
 Hopeful : เต็มไปด้วยความหวัง
 Shy : เขินอาย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์9
 In love : กำลังมีความรัก
 Jealous : อิจฉา / ริษยา
 Today I feel good about talking with you... วันนี้ฉันรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับคุณ ^^

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------